ขั้นตอนการทำฝนหลวง

                                           

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริขั้นตอนการทำฝนโดยทรงสังเกตวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้นว่า  บางครั้งถึงแม้จะมีเมฆมาก  แต่ไม่สามารถรวมตัวกันจนเกิดฝนได้  พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าโดยเน้นความจำเป็นในด้านพัฒนาการ  และปรับปรุงกรรมวิธีในการทำฝนในแนวทางของการออกแบบปฏิบัติการ  ทรงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษารูปแบบเมฆ  และการปฏิบัติการทำฝนให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ  พระองค์ทรงวิเคราะห์การทำฝนหลวงว่า มี 3 ขั้นตอน คือ

 ขั้นตอนที่1 ก่อกวนให้เกิดเมฆ  เป็นการกระตุ้นให้ความชื้นหรือไอน้ำรวมตัวเป็นกลุ่มแกน  เพื่อใช้เป็นแกนกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝน  ในระยะต่อมาวิธีการคือ โปรยสารเคมีที่ก่อให้เกิดกระบวนการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศได้แก่  เกลือแกง  ที่ความสูงประมาณ 7,000  ฟุต  ความชื้นหรือไอน้ำจะดูดซับเข้าไปเกาะรอบแกนเกลือ  แล้วรวมตัวกันเกิดเป็นเมฆที่จะพัฒนาเจริญขึ้นเป็นเมฆก้อนใหญ่ที่อาจสูงถึง  10,000  ฟุต
ขั้นตอนที่ 2  เลี้ยงเมฆให้อ้วน  เป็นการเพิ่มแกนเม็ดไอน้ำให้กลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากขึ้น  ใช้สารเคมีผงแคลซียมคลอไรด์โปรยเข้าไปที่กลุ่มเมฆที่มีความสูงประมาณ 8,000 ฟุต  หรือสูงกว่าฐานเมฆประมาณ 1,000 ฟุต   ขั้นตอนนี้สามารถเร่งกิจกรรมการกลั่นตัวของไอน้ำได้เร็วกว่าที่จะปล่อยให้เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติ  เมฆใหญ่อาจจะก่อยอดขึ้นถึงระดับ  15,000 ฟุต  ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนของเมฆอุ่น  แต่ในบางครั้งยอดเมฆอาจจะสูงถึง 20,000 ฟุต  ซึ่งถือว่าเป็นส่วนของเมฆเย็น (เริ่มตั้งแต่ประมาณ 18,000 ฟุต)
ขั้นตอนที่ 3  โจมตี เป็นการเร่งหรือบังคับให้เกิดฝน  ขณะที่เมฆเจริญเติบโตขึ้นจนเริ่มแก่ตัวจัดจนฐานเมฆลดระดับต่ำลงประมาณ 1,000 ฟุต  และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายจึงปฏิบัติการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานขั้นตอนการโจมตีไว้  ดังนี้
1)    แบบ Sanwich เป็นเทคนิคปฏิบัติการที่ความสูงไม่เกิน 10,000  ฟุต (เมฆอุ่น) ใช้ผงโซเดียมคลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม  เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆด้านใต้ลมในเวลาเดียวกัน  โดยให้แนวโปรยทั้ง  2  ทำมุมเยื้องกัน  45  องศา  ด้วยปฏิบัติการนี้เมฆจะทวีความหนาแน่นของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆทำให้ใกล้จะเกิดฝน  วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตีด้วยการโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัดคือ  น้ำแข็งแห้งที่ใต้ฐานเมฆ 1,000  ฟุต  เพื่อเร่งให้กลุ่มฝนกตลงเร็วขึ้น


2)    แบบเมฆเย็น  เป็นกรณีที่ยอดเมฆสูงมาจนถึงระดับเมฆเย็นหรือประมาณ 20,000  ฟุต ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วิธีการคือ  ใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดด์ยิงจากเครื่องบินที่ระดับความสูงประมาณ 21,500  ฟุต   ทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวดมาเกาะตัวรอบแกนของสารเคมีที่ยิง  กลายเป็นผลึกน้ำแข็งจนกระทั่งตกลงมา  และละลายเป็นเม็ดน้ำเมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น  ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัวเป็นเม็ดใหญ่ขึ้นทะลุฐานเมฆเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน

3)   แบบ Super Sandwich  เป็นเทคนิคใหม่ที่ทรงคิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2542  ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกร  และพระอัจฉริยภาพของพระองค์  ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งอย่างกว้างขวางสืบเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จากปรากฏการณ์ “เอล นิโน” ปฏิบัติการนี้ใช้วิธีการแบบ  Sandwich และแบบเมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียวกัน  จะทำให้ฝนตกหนักและต่อเนื่องยาวนาน  ให้ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น  เนื่องจากเป็นประสานประสิทธิภาพของการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นในเวลาเดียวกัน





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สรุปโครงการฝนหลวง

เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทำฝนหลวง